วิธีสอนโดยใช้การนิรนัย (Deductive Method)
เมื่อกล่าวถึงหลักการและทฤษฎีการสอน ผู้สอนบางคนอาจจะคิดว่าเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและซับซ้อนต่อการเรียน
ผู้สอนส่วนใหญ่จึงเน้นหนักด้านการเรียนการสอนโดยอธิบายรายละเอียดให้ผู้เรียนได้ทราบก่อน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การสอนโดยให้ผู้เรียนได้รู้ถึงหลักการและทฤษฎีก่อนนั้น
จะทำให้ผู้เรียนได้มีความรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนอธิบายโดยละเอียด
เพราะผู้เรียนได้เรียนรู้จากทฤษฎีเหล่านั้นนำมาแตกย่อยเป็นตัวอย่างได้โดยง่าย
เพียงแค่นึกถึงตัวหลักการหรือทฤษฎีก็จะเข้าใจรายละเอียดได้โดยที่ไม่ต้องจำจากตัวอย่าง ซึ่งจะทำให้นักเรียนเกิดความคิดที่เกิดจากหลักการได้อย่างถูกต้อง
สำหรับการเรียนการสอนแบบนี้เรียกว่า
วิธีสอนโดยใช้การนิรนัย หรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิธีสอนแบบอนุมัย ซึ่งใช้ตั้งแต่สมัยเพลโต (Palto) โดยเป็นการสอนที่เริ่มจากกฎเกณฑ์หรือหลักการต่างๆ แล้วหาเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยัน
วิธีสอนแบบนี้จะช่วยฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผลไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ จนกว่าจะสามารถพิสูจน์กฎเกณฑ์หรือหลักการที่ได้เรียนรู้เสียก่อน
(ไสว ฟักขาว, 2544 : 96)
ในบทนี้กล่าวถึง ความหมายของวิธีสอนโดยใช้การนิรนัย จุดมุ่งหมาย องค์ประกอบ ขั้นตอนของการสอนโดยใช้การนิรนัย ข้อดีและข้อจำกัดของการใช้วิธีสอนแบบนิรนัย
รวมไปถึงการสรุปท้ายบทเพื่อให้เกิดความเข้าใจในบทเรียนได้ยิ่งขึ้น
จะได้นำไปเป็นแนวทางในการทำกิจกรรมและคำถามท้ายบทด้วย
ความหมาย
สำหรับความหมายของการสอนโดยใช้การนิรนัย
นักการศึกษาได้กล่าวไว้หลายทัศนะ ดังนี้
ทิศนา แขมมณี (2550 : 337) อธิบายว่า
วิธีการสอนโดยการใช้นิรนัย คือกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดโดยการช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี หลักการ
กฎ
หรือข้อสรุปในเรื่องที่เรียน
แล้วจึงใช้ตัวอย่างการใช้ทฤษฎี/หลักการ/กฎ หรือข้อสรุปนั้นหลาย ๆ ตัวอย่าง หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกนำทฤษฎี/หลักการ/กฎ
หรือข้อสรุปนั้นไปในสถานการณ์ใหม่ ๆ
ที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในทฤษฎี/หลักการ/กฎ หรือข้อสรุปนั้น ๆ อย่างลึกซึ้งขึ้น หรือกล่าวสั้น ๆ
ว่าเป็นการสอนจากหลักการไปสู่ตัวอย่างย่อย ๆ
เสริมศรี
ลักษณศิริ (2540
: 280) กล่าวว่า การสอนแบบอนุมานหรืออนุมัยหรืออนิรมัย หมายถึง
การสอนจากกฎหรือหลักเกณฑ์ไปหาตัวอย่าง
หรือการสอนจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย
กล่าวคือ
ให้ผู้เรียนรู้กฎเกณฑ์
หลักการ สูตร นิยาม
ทฤษฎี ข้อเท็จจริง หรือข้อสรุปต่าง ๆ
เสียก่อนแล้วจึงให้ตัวอย่างประกอบหรือพิสูจน์ทดลองให้เห็นจริง ตัวอย่างเช่น
สอนคำใหม่ คำว่า “ไก่”
ให้อ่านเป็นคำแล้วมาแยกเป็นพยัญชนะ
สระ วรรณยุกต์
หรือใช้สูตรพื้นที่สามเหลี่ยมแล้วมาแทนค่าสูตรหรือให้ความหมายของคำว่า “สสาร” แล้วจึงยกตัวอย่างของสสาร เป็นต้น
เป็นวิธีสอนที่ตรงข้ามกับวิธีสอนแบบอุปมาน
จำเริญ ชูช่วยสุวรรณ (2544 : 73)
ได้ให้ความเห็นไว้ว่า วิธีสอนแบบนิรนัยหรือแบบอนุมาน เป็นวิธีสอนจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย
หรือจากกฎเกณฑ์หรือทฤษฎี
ไปหาตัวอย่าง คือ เวลาสอนครูเริ่มต้นด้วยทฤษฎี หรือกฎเกณฑ์ก่อนแล้วจึงยกตัวอย่าง หรือให้รายละเอียด เพื่อสนับสนุนกฎเกณฑ์นั้น หรือเพื่อให้ทฤษฎีนั้น ๆ
เป็นจริงเป็นจังมากขึ้น
สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 65) กล่าวว่า วิธีสอนแบบนี้ เป็นการสอนที่เริ่มจากทฤษฎีหรือหลักการต่าง ๆ
แล้วให้นักเรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยัน
วิธีสอนแบบนี้หัดฝึกให้นักเรียนเป็นคนมีเหตุผลไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ จนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน
อินทิรา บุณยาทร (2542 :105) ได้กล่าวไว้ว่า วิธีสอนแบบนิรนัย คือ
การสอนที่เริ่มจากให้ผู้เรียนรู้จักกฎ
หรือหลักการต่าง ๆ ความจริงโดยทั่ว ๆ ไปก่อน แล้วจึงสอนรายละเอียดทีหลัง อาจทำโดย
ให้ผู้เรียนทดลองคิด ค้นหา ศึกษาข้อมูลรายละเอียดมาพิสูจน์ยืนยันด้วยเหตุผล พร้อมทั้งคำแนะแนวทางจากผู้สอนประกอบสรุปเป็นความเข้าใจ
จากความหมายทั้งหมดที่กล่าวมา
สรุปได้ว่า การสอนแบบนิรนัย หมายถึง วิธีสอนที่ผู้สอนได้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงหลักการหรือทฤษฎีโดยทั่วไปก่อนที่ผู้สอนจะให้รายละเอียดหรือยกตัวอย่างให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึงหลักการนั้นๆ นั่นคือเป็นวิธีสอนจากส่วนรวมไปสู่ส่วนย่อยนั่นเอง
จุดมุ่งหมายของวิธีสอนแบบนิรนัย
สำหรับจุดมุ่งหมายของวิธีสอนแบบนิรนัย
ได้มีนักการศึกษาเสนอแนะความคิดเห็น ไว้ดังนี้
ทิศนา แขมมณี (2550 : 337) ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของวิธีการสอนโดยใช้การนิรนัยว่า
เป็นวิธีที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หลักการและสามารถนำหลักดังกล่าวไปใช้ได้
อยากแยกเป็นข้อๆ ดังนี้
1. เพื่อให้ผู้เรียนฝึกการเป็นคนมีเหตุผล
2.
เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักใช้กฎ สูตร และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา
3.
เพื่อฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างรอบคอบ
ไม่ตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ
ไปโดยไม่มีเหตุผลหรือหลักเกณฑ์เพียงพอกับความถูกต้อง
เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 281) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในของวิธีสอนโดยใช้นิรนัยไว้ว่า
1.
เพื่อให้ผู้เรียนนำเอากฎ สูตร นิยาม
ทฤษฎีไปใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหา
2.
เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักยับยั้งในการตัดสินใจ
จนกว่าจะได้พิสูจน์ความจริงต่าง ๆ หรือวิเคราะห์อย่างถ่องแท้แล้ว
3.
เพื่อแก้ข้อบกพร่องของผู้เรียนซึ่งมักจะรีบด่วนสรุปสิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและง่าย ๆ โดยไม่มีหลักเกณฑ์ใด ๆ
ไสว ฟักขาว (2544
: 96) ได้กล่าวเสริมว่า วิธีสอนโดยใช้นิรนัยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ
ดังนี้ คือ
1.
เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักนำกฎ สูตร และหลักการต่าง ๆ ไปอ้างอิงในการแก้ปัญหา ได้อย่างถูกต้องและมีเหตุผล
2.
เพื่อฝึกให้ผู้เรียนรู้จักใช้เหตุผลมาประกอบการพิสูจน์ความรู้ต่าง ๆ ก่อนจะตัดสินใจเชื่อว่าถูกต้อง
นอกจากนี้
สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 105) ได้กล่าวว่า
จุดมุ่งหมายของการสอนโดยใช้นิรนัยเพื่อให้นักเรียนรู้จักใช้กฎ สูตร
และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
มาช่วยในการแก้ปัญหา
ไม่ตัดสินใจในการทำงานอย่างง่าย ๆ จนกว่าจะพิสูจน์ให้ทราบข้อเท็จจริงเสียก่อน
สรุปได้ว่า
การสอนโดยการใช้นิรนัยมีจุดมุ่งหมายหลัก คือ
1. เพื่อฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล
2. เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้จากหลักการและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
3. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำหลักการที่ได้เรียนรู้มาแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
4. เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้รู้จักใช้เหตุผลมาประกอบการพิสูจน์ความรู้ต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี
5. เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้แก้ไขข้อบกพร่องอันเกิดจากข้อผิดพลาดได้อย่างทันท่วงที
ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ผู้เรียนรู้เกิดการเรียนที่ดีมีเหตุผลพร้อมเผชิญกับปัญหาและแก้ไข
ปัญหาที่เกิดจากความบกพร่องของตนเองได้เป็นอย่างดี
องค์ประกอบของการสอนแบบนิรนัย
ทิศนา แขมมณี (2550 : 337) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบนิรนัย
ดังนี้
1.
มีผู้สอนผู้เรียน
2.
มีทฤษฎี / หลักการ / กฎ หรือข้อสรุปต่าง ๆ
3.
มีตัวอย่างสถานการณ์ที่หลากหลาย
ที่สามารถนำทฤษฎี/หลักการ/กฎ หรือข้อสรุปนั้นนำไปใช้ได้
4.
มีการฝึกนำทฤษฎี / หลักการ / กฎ
หรือข้อสรุปไปใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
5.
มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดขึ้นจากการนำหลักการไปใช้
ขั้นตอนของวิธีสอนโดยใช้การนิรนัย
ขั้นตอนสำคัญ (ที่ขาดไม่ได้) ของวิธีสอนโดยใช้การนิรนัย
มีดังนี้ (ทิศนา แขมมณี, 2550 : 337)
1. ผู้สอนถ่ายทอดความรู้
/ ทฤษฎี / หลักการ / กฎ / ข้อสรุปที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
2.
ผู้สอนให้ตัวอย่างสถานการณ์หลากหลายที่สามารถนำความรู้ที่ได้เรียนมาไปใช้
3.
ผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัตินำความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่
4.
ผู้สอนให้ผู้เรียนวิเคราะห์และอภิปรายผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
5.
ผู้สอนวัดประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
สิริวรรณ
ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 132-133) ได้กล่าวถึงลำดับขั้นการสอนแบบนิรนัย ไว้ว่า การสอนแบบนิรนัย
เป็นการสอนที่มีรายละเอียดตรงข้ามกับวิธีอุปนัย กล่าวคือวิธีสอนแบบนี้จะเริ่มจากกฎ หรือหลักการต่าง ๆ แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันหาข้อมูล หลักฐานและข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ยืนยันกฎ หรือหลักการนั้น ๆ ว่าถูกต้องหรือไม่ หรือกล่าวได้ว่าการสอนวิธีนี้เป็น การสอนโดยเริ่มจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย
ส่วนการสอนโดยวิธีอุปนัยเป็นการสอนจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวมนั่นเอง
สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 66) ได้อธิบายขั้นตอนในการสอนแบบนิรนัย มีดังนี้
1.
ขั้นอธิบายปัญหา ระบุสิ่งที่จะสอนในแง่ของปัญหา
เพื่อยั่วยุให้นักเรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบ (เช่น
เราจะหาพื้นที่ของวงกลมได้อย่างไร)
ปัญหาจะต้องเกี่ยวข้องกับสถานการณ์จริงของชีวิต และเหมาะสมกับวุฒิภาวะของเด็ก
2.
ขั้นอธิบายข้อสรุป ได้แก่ การนำเอาข้อสรุปกฎหรือนิยามมากกว่า 1 อย่าง มาอธิบาย
เพื่อให้นักเรียนได้เลือกใช้ในการแก้ปัญหา
3.
ขั้นตกลงใจ
เป็นขั้นที่นักเรียนจะเลือกข้อสรุป
กฎ หรือนิยาม ที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา
4.
ขั้นพิสูจน์
หรืออาจเรียกว่าขั้นตรวจสอบ
เป็นขั้นที่สรุปกฎหรือนิยามว่าเป็นความจริงหรือไม่ โดยการปรึกษาครู ค้นคว้าจากตำราต่าง ๆ
และจากการทดลองข้อสรุปที่ได้พิสูจน์ว่าเป็นความจริงจึงจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 281) ได้เสนอขั้นตอนในการสอนแบบนิรนัยไว้
4 ขั้นตอน ดังนี้
1.
ขั้นเตรียม เป็นการเตรียมบทเรียน เตรียมการสอน
นำเข้าสู่บทเรียน
เร้าความสนใจของผู้เรียน
ทบทวนความรู้เดิม
เพื่อให้สัมพันธ์กับความรู้ใหม่
อธิบายความมุ่งหมายให้ผู้เรียนเข้าใจ
อาจจะทำในรูปของปัญหาก็ได้
2.
ขั้นสอน ผู้สอนนำกฎ สูตร นิยาม ฯลฯ มาอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจแล้วเขียนข้อสรุปนั้น
ๆ ลงบนกระดานชอล์ก แล้วยกตัวอย่างหรือทำการพิสูจน์ให้เห็นจริง และให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วย
3.
ขั้นสรุป ผู้เรียนสรุปได้ว่า
สิ่งที่ผู้สอนอธิบายนั้นเป็นความจริงทุกประการตามที่ผู้สอนได้บอกไว้ ข้อสรุปที่ได้นับว่าเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
4.
ขั้นนำไปใช้ ผู้เรียนนำข้อสรุปนั้น
ๆ ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือใช้ในการทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้เกิดทักษะและเข้าใจดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ไสว ฟักขาว (2544 : 97)
ได้กล่าวว่า การสอนแบบอนุมาน สามารถแบ่งขั้นตอนการสอนออกเป็น
4 ขั้นตอน ดังนี้
1.
ขั้นอธิบายปัญหา
เป็นขั้นที่ครูระบุสิ่งที่จะสอนในรูปของปัญหา
เพื่อยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบ
ปัญหานั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
2.
ขั้นอ้างหลักการ
เป็นขั้นที่ครูนำหลักการ กฎ หรือทฤษฎีต่าง ๆ มาอ้างเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา
3.
ขั้นอธิบาย เป็นขั้นที่ครูอธิบายความเป็นมาของหลักการ กฎ
หรือทฤษฎีต่าง ๆ และขั้นตอนการนำมาใช้ในการแก้ปัญหา
4.
ขั้นตรวจสอบ
เป็นขั้นที่ครูให้ผู้เรียนตรวจสอบว่า
หลักการที่นำมาอ้างนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่
โดยอาจให้ผู้เรียนทดลอง
ค้นคว้าจากตำราต่าง ๆ หรือขอคำแนะนำจากครู
จากที่นักวิชาการหลายท่านได้อธิบายขั้นตอนของการสอนโดยใช้การนิรนัย สรุปได้ว่า
การสอนโดยใช้การนิรนัย มีขั้นตอนการสอนดังนี้
1. ขั้นเตรียม
หรือขั้นอธิบายปัญหา เป็นขั้นที่ผู้สอนจะต้องนำสู่บทเรียนโดยเร้าความสนใจของผู้เรียน
ซึ่งจะต้องเตรียมปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
2. ขั้นสอน ผู้สอนจะต้องอธิบาย และสรุปกฎเกณฑ์ หลักการ
หรือทฤษฎี ให้ผู้เรียนได้
เข้าใจ
พร้อมกับยกตัวอย่างให้ผู้เรียนได้เห็นจริง
3. ขั้นสรุป เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องสรุปกฎเกณฑ์และทฤษฎี
จากสิ่งที่ผู้สอนได้อธิบายไว้ เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาไว้อย่างถูกต้อง
4. ขั้นนำไปใช้
เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสิ่งที่ผู้สอนได้อธิบายไว้ว่าสามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้หรือไม่
เทคนิคและข้อเสนอแนะของขั้นตอนการสอนโดยใช้การนิรนัย
ทิศนา
แขมมณี
(2550
:
338) อธิบาย เทคนิคและข้อเสนอแนะของขั้นตอนการสอนโดยใช้การนิรนัย
ไว้ว่า
1.
การเตรียมการ
ผู้สอนจำเป็นต้องทำความเข้าใจในทฤษฎี / หลักการ / กฎ / ข้อความรู้ /
ข้อสรุป ที่ต้องการสอนให้แก่ผู้เรียน และหาวิธีที่เหมาะสมในการถ่ายทอดหรือนำเสนอเนื้อหาสาระเหล่านั้นแก่ผู้เรียน นอกจากนั้น
ครูจำเป็นต้องเตรียมตัวอย่างที่ผู้เรียนสามารถนำเนื้อหาสาระเหล่านั้นไปใช้ให้เกิดผลสำเร็จ
ตัวอย่างควรเป็นสถานการณ์ที่มีความหลากลหาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดรวบยอดและความเข้าใจที่ชัดเจน
2. การนำเสนอข้อความรู้
/ ทฤษฎี / หลักการ / กฎ / ข้อสรุป แก่ผู้เรียน
ผู้สอนจำเป็นต้องทำความเข้าใจในสิ่งที่จะสอนเป็นอย่างดี รวมทั้งหาวิธีการที่เหมาะสมในการนำเสนอเนื้อหาสาระเหล่านั้นให้แก่ผู้เรียน จนกระทั่งผู้เรียนเกิดความเข้าใจ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนมีความเข้าใจเพียงพอ
ผู้สอนควรทดสอบความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนก่อนให้ฝึกใช้ความรู้
3.
การนำเสนอสถานการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนฝึกใช้ความรู้
เมื่อเห็นว่าผู้เรียนเกิดความเข้าใจในความรู้ / ทฤษฎี / หลักการ / กฎ /
ข้อสรุป ที่ให้พอสมควรแล้ว ผู้สอนควรให้ผู้เรียนฝึกการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่
ๆ
ซึ่งจะมีความหลากหลายพอสมควรเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น
ข้อดีและข้อจำกัดของการสอนแบบนิรนัย
สำหรับข้อดีและข้อจำกัดของการสอนแบบนิรนัย
นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวไว้ดังต่อไปนี้
ทิศนา แขมมณี (2550 : 338) กล่าวถึงข้อดีและข้อจำกัดของการสอนแบบนิรนัย ไว้ดังนี้
ข้อดี
1. เป็นวิธีสอนที่ช่วยถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก
2.
เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกฝนการนำทฤษฎี / หลักการไปใช้ในสถานการณ์ใหม่
3.
เป็นวิธีสอนที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนที่มีความสามารถหรือเรียนรู้ได้เร็วสามารถพัฒนา โดยไม่ต้องรอผู้เรียนรู้ได้ช้ากว่า
ข้อจำกัด
1. เป็นวิธีการที่ผู้สอนจำเป็นต้องเตรียมตัวอย่าง
/ สถานการณ์ / ปัญหาที่หลากหลายมาให้ผู้เรียนได้ฝึกทำ
2.
เป็นวิธีสอนที่ขึ้นกับความเข้าใจและความสามารถของผู้สอนในการนำทฤษฎี หลักการ
3.
เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนที่เรียนรู้ได้ช้า
อาจจะตามไม่ทันเพื่อนและเกิดปัญหาในการเรียนรู้
เสริมศรี ลักษณศิริ ( 2540 : 281) กล่าวถึงข้อดีและข้อเสียของวิธีสอนแบบนิรนัย ไว้ดังนี้
ข้อดี
1. เป็นวิธีที่ง่ายกว่าและเสียเวลาน้อยกว่าวิธีสอนแบบอนุมาน
2.
ใช้สอนเนื้อหาวิชาที่ง่าย ๆ หรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ได้ดี
3.
ผู้สอนไม่ต้องใช้เทคนิคการสอนมาก
4.
เป็นการสอนที่เน้นผู้สอนเป็นศูนย์กลางเป็นส่วนใหญ่
5.
หลักเกณฑ์ต่าง ๆ
ที่อธิบายโดยใช้วิธีสอนแบบนี้
ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายได้ดี
ข้อเสีย
1. ผู้เรียนบางคนโดยเฉพาะผู้ที่มีสติปัญญาปานกลางและอ่อน จะเข้าใจได้ยาก
2.
ใช้สอนได้ดีเฉพาะบางเรื่อง เช่น
การสอนอ่านสำหรับผู้เริ่มเรียนที่สอนให้อ่านเป็นคำก่อนแล้วจึงผสมอักษรทีหลัง หรือการสอนคำใหม่ เป็นต้น
3.
ไม่ส่งเสริมคุณค่าในการแสวงหาความรู้
และคุณค่าทางอารมณ์
ในการสอนควรนำวิธีสอนแบบอุปมานและอนุมานมาใช้ร่วมกันจะทำให้การสอนได้ผลดียิ่งขึ้น
เพราะวิธีสอนแบบอนุมานเป็นวิธีสอนที่ทำให้ผู้เรียนได้เห็นรายละเอียดและคิดค้นด้วยตนเองสรุปเป็นกฎเกณฑ์ ส่วนวิธีสอนแบบอนุมานใช้กฎเกณฑ์ที่วางไว้แล้วไปหารายละเอียด
ดังนั้นควรสอนให้คิดหาเหตุผลจนเข้าใจแล้วจึงสรุปเป็นเกณฑ์หรือสูตร
ต่อจากนั้นก็ตรวจสอบดูกฎเกณฑ์หรือสูตรให้แน่ใจก่อนนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่าง
ๆ
การรวมการสอนทั้งสองวิธีเข้าด้วยกันจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เกิดความกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น ได้ความรู้จากการค้นคว้าทดลอง
และสามารถฝึกหาเหตุผลในกรณีต่าง ๆ ได้
สำหรับ
จำเริญ ชูช่วยสุวรรณ (2544 : 58) ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อดีของการสอนแบบนิรนัย ไว้ว่า วิธีสอนแบบนี้จะฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผลไม่เชื่ออะไรง่าย
จนกว่าจะได้พิสูจน์ให้เห็นจริง และได้กล่าวถึงข้อจำกัดของการสอนแบบนิรนัยว่า เป็นการเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนน้อย เพราะครูเป็นผู้แสดงเป็นส่วนใหญ่ เช่น
ครูเตรียมทฤษฎีมา
แล้วพิสูจน์ให้นักเรียนได้เห็นจริง
เป็นต้น
สุพิน
บุญชูวงศ์ (2544 : 66) ได้กล่าวถึงข้อดีและข้อจำกัดของวิธีการสอนแบบนิรนัยไว้ ดังนี้
ข้อดี
1. วิธีสอนแบบนี้เหมาะที่จะใช้สอนเนื้อหาวิชาง่าย
ๆ หรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ จะสามารถอธิบายให้นักเรียนเข้าใจความหมายได้ดี และเป็นวิธีสอนที่ง่ายกว่าสอนแบบอุปนัย
2.
ฝึกให้เป็นคนมีเหตุมีผล ไม่เชื่ออะไรง่าย
ๆ โดยไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง
ข้อจำกัด
1. วิธีสอนแบบนิรนัยที่จะใช้สอนได้เฉพาะบางเนื้อหา
ไม่ส่งเสริมคุณค่าในการแสวงหาความรู้และคุณค่าทางอารมณ์
2.
เป็นการสอนที่นักเรียนไม่ได้เกิดความคิดรวบยอดด้วยตนเอง เพราะครูกำหนดความคิดรวบยอดให้
ไสว ฟักขาว (2544 : 98) ได้กล่าวว่าข้อดีและข้อจำกัดของวิธีสอนแบบอนุมาน
มีดังนี้
ข้อดี
1.
เป็นวิธีที่เหมาะกับเนื้อหาที่มีกฎเกณฑ์
จะทำให้สามารถอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายและใช้เวลาไม่มาก
2.
เป็นวิธีที่ช่วยฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล ลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน
ข้อจำกัด
1.
ใช้สอนได้เฉพาะบางเนื้อหา
2.
ไม่ส่งเสริมการแสวงหาความรู้
3.
ผู้เรียนไม่ได้เป็นผู้สร้างมโนทัศน์ (Concept) ในหลักการที่นำมาอ้างด้วยตนเอง
เพราะครูจะเป็นผู้กำหนดให้
นอกจากนี้
อินทิรา บุณยาทร (2542 : 106) ได้ให้ความคิดเห็นว่า การสอนแบบนิรนัยมีข้อดีและข้อจำกัด คือ
ข้อดี
1. ฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล
ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง
2.
วิธีสอนแบบนี้ง่ายในการอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจ
และสามารถนำไปใช้ได้
ข้อจำกัด
1. ผู้เรียนไม่ได้เกิดความคิดรวบยอดด้วยตนเอง เพราะผู้สอนเป็นผู้บอกให้
2.
เป็นการสอนที่ไม่ให้ผู้เรียนได้ฝึกกระบวนการคิดมากนัก เพราะผู้สอนจะเป็นผู้กำหนดให้
จากทั้งหมดที่กล่าวมา
การสอนโดยใช้การนิรนัยมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด
ซึ่งมีความสำคัญด้วยกันทั้ง
จึงสรุปได้ว่า
ข้อดีของการสอนโดยใช้การนิรนัย มีดังนี้
1. เป็นการสอนที่เหมาะกับเนื้อหาที่เป็นกฎเกณฑ์ สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้
ง่าย
2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล เข้าใจหลักการและทฤษฎี ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
3. เป็นวิธีสอนที่ช่วยถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก
4. เป็นวิธีสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
5. ผู้สอนไม่ต้องใช้เทคนิคในการสอนมาก
ส่วนข้อจำกัดของการสอนโดยใช้การนิรนัย
มีดังนี้
1. ผู้สอนต้องเตรียมตัวในการเรียนการสอน
ค่อนข้างจะยุ่งยาก
2. เป็นวิธีสอนที่ไม่ส่งเสริมคุณค่าในการแสวงหาความรู้ และคุณค่าทางอารมณ์
3. เป็นวิธีสอนที่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในหลักการ
ทฤษฎีของผู้เรียนแต่ละคน
4. ผู้เรียนไม่ได้แสดงความคิดรวบยอดเป็นของตนเอง
เพราะผู้ผู้สอนบอกให้
5. ไม่ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการคิดมากนัก
สรุปท้ายบท
การสอนโดยใช้นิรนัย หมายถึง
การสอนที่เน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ถึงทฤษฎีและหลักการในเนื้อหาก่อนที่จะให้ได้เรียนรู้ถึงรายละเอียด
หรือตัวอย่าง
หรือจะกล่าวได้ว่าเป็นการเรียนจากส่วนใหญ่ไปส่วนย่อย เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจในหลักการ ทฤษฎี
มากขึ้น
จึงเป็นการสอนที่ฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะสามารถพิสูจน์ทฤษฎีให้ได้ก่อน
ซึ่งจุดมุ่งหมายหลักที่สำคัญของการสอนโดยการใช้นิรนัยมีก็คือ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล
เกิดความรู้จากหลักการและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
อีกทั้งสามารถนำหลักการที่ได้เรียนรู้มาแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง รู้จักใช้เหตุผลมาประกอบการพิสูจน์ความรู้ต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี
และที่สำคัญเพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้แก้ไขข้อบกพร่องอันเกิดจากข้อผิดพลาดได้อย่างทันท่วงที
ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ โดยองค์ประกอบสำคัญที่จะขาดไม่ได้ของการสอนวิธีนี้คือ ผู้เรียนและผู้สอน ทฤษฎี
หลักการหรือข้อสรุปต่างๆ
จะต้องมีตัวอย่างสถานการณ์ที่หลากหลายที่สามารถนำไปใช้ได้
พร้อมทั้งต้องการฝึกนำหลักการและทฤษฎีไปใช้ในสถานการณ์เหล่านั้นให้ได้
ซึ่งจะต้องมีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจากการนำหลักการนั้นไปใช้ด้วย
ขั้นตอนการสอนโดยใช้การนิรนัย
แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ
1. ขั้นเตรียม หรือขั้นอธิบายปัญหา
เป็นขั้นที่ผู้สอนจะต้องเตรียมปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ
ชีวิตจริงและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
2. ขั้นสอน ผู้สอนจะต้องอธิบาย และสรุปกฎเกณฑ์ หลักการ หรือทฤษฎี ให้ผู้เรียนได้
เข้าใจ พร้อมกับยกตัวอย่างให้ผู้เรียนได้เห็นจริง
3. ขั้นสรุป เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องสรุปกฎเกณฑ์และทฤษฎี จากสิ่งที่ผู้สอนได้อธิบายไว้
เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาไว้อย่างถูกต้อง
4. ขั้นนำไปใช้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสิ่งที่ผู้สอนได้อธิบายไว้ว่า
สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้หรือไม่
การสอนโดยใช้การนิรนัยจึงมีข้อดี คือ เป็นการสอนที่เหมาะกับเนื้อหาที่เป็นกฎเกณฑ์
สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ง่าย ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล เข้าใจหลักการและทฤษฎี ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
เป็นการสอนที่ผู้สอนถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และผู้สอนไม่ต้องใช้เทคนิคในการสอนมาก เพราะเป็นการอธิบายให้ผู้เรียนได้รู้หลักการผู้เรียนก็สามารถนำหลักการที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ได้ แต่การสอนวิธีนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เช่น
ผู้สอนต้องเตรียมตัวในการเรียนการสอนที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก
เป็นวิธีสอนที่ไม่ส่งเสริมคุณค่าในการแสวงหาความรู้ และคุณค่าทางอารมณ์
ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในหลักการและทฤษฎีของผู้เรียนแต่ละคน
ผู้เรียนจึงไม่ได้แสดงความคิดรวบยอดและกระบวนการคิดที่เป็นของตนเองมากนัก เป็นต้น
คำถามและกิจกรรมท้ายบท
1. จงอธิบายความหมายของ “วิธีสอนโดยใช้การนิรนัย” ตามความคิดเห็นของท่าน
2. วิธีสอนโดยใช้การนิรนัยมีจุดมุ่งหมายในการสอนเพื่ออะไรบ้าง
3. องค์ประกอบสำคัญของวิธีสอนโดยใช้การนิรนัยจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง
4. หากท่านต้องการใช้วิธีสอนโดยใช้การนิรนัย
ท่านจะมีขั้นตอนในการสอนอย่างไร
5. ให้ท่านเสนอเทคนิคและข้อเสนอแนะของขั้นตอนกาสอนโดยใช้การนิรนัย
มาพอ
สังเขป
6. ท่านคิดว่า วิธีสอนโดยใช้การนิรนัย
มีข้อดีและข้อจำกัดอะไรบ้าง จงอธิบาย
7. หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ครูให้คัดเลือกวิธีสอน
ท่านจะทำการสอนโดยใช้การนิรนัย
หรือไม่ เพราะเหตุใด
เยี่ยมมากเลยครับ
ReplyDelete